แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสำคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ
ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า
ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีและจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950
มุ่งศึกษา ตัวแปรทำนายจากคุณสมบัติของครู เชื่อว่าครูที่มีแนวโน้มจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เสียง
2)
รูปร่างหน้าตา
3)
ความมั่นคงในอารมณ์
4)
ความน่าเชื่อถือ
5)
ความอบอุ่น
6) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครูในช่วงทศวรรษ 1960 และ
1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก(Clinical
supervision) คือ เทคนิควิธีสังเกตการสอนชั้นเรียน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Clinical supervision https://panchalee.wordpress.com/2009/06/22/clinical-supervision1/
ทศวรรษ 1980 เมเดอลีน ฮันเตอร์ และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐานในการเรียนการสอนดังนี้
1) การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม(Behaviorist) เน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
(Stimulas) และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ
การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้
2) การอนุมานจากความคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความทรงจำ
การถ่ายโอนความรู้ เป็นต้น
ผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม
เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive learning theory)
สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอน
จึงต้องเริ่มด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้ก่อน ในประเทศไทย
คุรุสภา เป็นผู้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา
เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้รู้ว่างานวิจัยและข้อมูลเหล่านี้ ช่วยให้เรามองเห็นแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรของเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น