วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แนวโน้มของหลักสูตร โดย Allan C. Ornstein

                ออนสไตน์ (Allan C. Ornstein) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรว่า หลักสูตรในอนาคต เนื้อหาของวิชาเดี่ยวๆจะถูกลดลง และนำไปประสมประสานกับวิชาอื่นๆ ซึ่งขอบข่ายของวิชานั้นยังคงอยู่ แต่จะถูกบูรณาการเข้ากับวิชาอื่นมากขึ้น ไม่สามารถพิจารณาพิจารณารายละเอียดปลีกย่อยของวิชานั้นได้ เพราะมีความเป็นสหวิทยาการและหลากหลายมิติยิ่งขึ้น

แนวโน้มของหลักสูตรที่ออนสไตน์สรุปไว้มีดังนี้

                1.การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ความเจริญก้าวหน้าของวีดิทัศน์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้ ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้และที่บ้านของนักเรียน วีดิทัศน์มีความสะดวกที่นำมาเรียนได้ตลอดเวลา ช่วยไม่ให้ผู้เรียนพลาดบทเรียนที่สำคัญ ทั้งยังสามารถจะพิมพ์วีดิทัศน์หรือภาพจากจอ ให้อยู่ในรูปของภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือ รูปภาพในแบบต่างๆลงในกระดาษสำหรับศึกษาต่อได้
ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

                2.การรู้ใช้เทคโนโลยี โรงเรียนปัจจุบันเห็นความสำคัญในวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยี จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์และหุ่นยนต์ การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็นหรือที่รู้จักกันว่า 3Rs เพราะในอนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยีในอาชีพต่างๆเป็นอย่างมาก สถาบันการศึกษาจึงต้องมีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในอนาคต

                3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจำเป็นกับสังคมสมัยใหม่ เพราะความรู้ที่มีมากมาย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อประชาชนในการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพไปสู่การพัฒนาใหม่ที่มีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม ซึ่งการศึกษาไม่ได้จัดขึ้นในโรงเรียนเท่านั้น การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังให้มีเพิ่มมากขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1990s

                4.การศึกษานานาชาติ การสื่อสารผ่านดาวเทียม รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ท สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ดูเหมือนว่าโลกแคบลง สามารถศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และการสอนภาษาต่างประเทศมีก็มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

                5.สิ่งแวดล้อมศึกษา ผลจากปัญหาต่างๆ ในด้านสิ่งแวดล้อมนำไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา ถึงแม้ว่ามีวิชาที่เกี่ยวข้องคือธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ อยู่แล้ว แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมาย มีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ ในยามคับขันหรือช่วงเวลาฉุกเฉินก็ยังจำเป็นอยู่ การเรียนรู้ในแบบบูรณาการถึงปัญหาและสาเหตุหลายๆอย่าง จะช่วยให้เกิดการลดปัญหาหรือนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาได้

                6.การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การบำบัดด้วยการฉายรังสี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ อาหารอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด และความเข็มข้นของรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์จะถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา

                7.สุขศึกษาและการดูแลสุขภาพกาย แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ ตัวอย่างที่จัดเจนคือ นักการศึกษานำประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS นำมาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร

                8.การศึกษาต่างด้าว สังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก นัยสำคัญของคนต่างด้าวจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่เรียกว่า ยากจน เด็กที่มาจากประเทศต่างๆจะถูกตีตราว่า ด้อยความสามารถในการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คำแนะนำว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

                9.ภูมิศาสตร์ย้อนกลับ การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983 เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน มีการทบทวนสาระสำคัญทางภูมศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น

                10.การศึกษาช่วงเกรดกลาง ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนต้น เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต (socialization) ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสำคัญกับ intramural sport (กีฬาภายใน)แต่ไม่เน้น interscholastic sport (กีฬาระหว่างโรงเรียน) ถึงแม้ว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้น การพัฒนาหลักครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความแตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอนาคตสถาบันการผลิตครูจะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง

                11.การศึกษาสำคัญผู้สูงอายุ โรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย) นอกจากนั้น ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจากงานประจำมาช่วยงานในโรงเรียนในรูปแบบ อาสาสมัคร ผู้ช่วยสอนและแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้

                12.ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงกลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโค้ชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว (ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาจากผู้เรียนโดยตรง

                13.การศึกษาเพื่ออนาคต จากงานเขียนของทอฟเลอร์ (Toffler) ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กำหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลยนั้น จึงนำมาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่แบ่งแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองเป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต เป็นการนำเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำไปใช้โดยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนักการศึกษาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในอนาคตไว้ เรียกว่า “ทักษะในศตวรรษที่ 21”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น