CURRICULUM DEVELOPMENT \\ การพัฒนาหลักสูตร
วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557
โหลดข้อมูลทั้งหมดที่นี่
การเขียนบทความในหน้าบล็อกทำให้บทความที่ใหม่กว่าอยู่ด้านบนสุดของบทความทั้งหมด ทำให้การเรียงเนื้อหามีความสับสนเล็กน้อย
หากผู้ใดสนใจเนื้อหา และต้องการใช้ ผมได้รวมรวมไว้ในไฟล์นี้ http://1drv.ms/13fp1wJ แล้วครับ เนื้อหาจะเรียงลำดับตั้งแต่แรก และเหมาะแก่การอ่านมากกว่า #แต่เนื้อความจะไม่ต่างกับในบล็อกอย่างใดนะครับ
การวางแผนหลักสูตรเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21
ปี ค.ศ. 1983 สมาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association for Supervision and curriculum development : ASCD)ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I. Troutman and Robert D.Palombo เรื่อง Identifying Futures Trends in Curriculum Planning โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คนจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ข้อมูลที่ได้สรุปได้ว่า ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็นผลจาก การขยายความรู้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และความรู้มีความเป็นศาสตร์เฉพาะการเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการศึกษาผลต่อหลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ
1 ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า
2 ความสมดุลระหว่างความยากลำบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ
3 เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร
จากขอบข่ายดังกล่าวนี้ กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผนหลักสูตรมี 15 ประเด็นคือ
1.ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills) จะต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับทักษะการสื่อสาร คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา
2. คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ (Computes and Other Information Technologies) คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ เมื่อรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อนการศึกษาสำหรับผู้เรียนทุกคน
3 ความยืดหยุ่นของหลักสูตร (Curriculum Flexibility) เพื่อโอกาสมากขึ้นในการเพิ่มสมรรถนะและความรวดเร็วของขอบข่ายหลักสูตร
4 การทบทวนหลักสูตร (Curriculum Revision) พัฒนาแผนปฏิบัติการที่แน่ใจว่าสามารถดำเนินการต่อไปได้, มีการประเมินอย่างเป็นระบบ, และหลักสูตรได้รับการตรวจทาน
5 ความเป็นประชาธิปไตย (Democratic Ideals) ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
6 โปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก (Early Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก (เด็กก่อนอนุบาล) ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้
7 การมองอนาคต (Futures Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียวโดยสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นประเด็นสะท้อนและอธิบายประเด็นร่วมสมัย แนวโน้มอนาคต และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปและทางเลือกในอนาคต
8 สัมพันธภาพระดับสากล (Global Interrelationships) ให้ความสำคัญกับมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม-ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย
9 การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ขยายโอกาสสำหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
10 สื่อมวลชน (Mass Media) ให้ความสำคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง และ การดูที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ
11 การเติมเต็มบุคลิกภาพ (Personal Fulfillment) โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความคิดต่อตนเองเชิงบวก และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
12 การประยุกต์กระบวนการ (Process Approach)หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า
13 การพัฒนาทีมงาน (Staff Development ) เพิ่มโอกาสให้พัฒนาทีมงาน โดยเฉพาะเรื่องกี่ยวกับเทคโนโลยี
14 ใช้ชุมชน (Use of Community) เพิ่มบทบาทของผู้ปกครองและแหล่งเรียนรู้ในชุมชนในการจัดโปรแกรมการศึกษาเชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน
15 การอาชีวะและอาชีพศึกษา (Vocational and Career Education) แน่ใจว่าการศึกษาอาชีวและอาชีพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทำงานและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน
ไฟล์อ้างอิง : (แบบดาวน์โหลด) http://www.ascd.org/ASCD/pdf/journals/ed_lead/el_198309_troutman.pdf
แนวโน้มของหลักสูตร โดย Allan C. Ornstein
ออนสไตน์ (Allan C. Ornstein) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรว่า หลักสูตรในอนาคต เนื้อหาของวิชาเดี่ยวๆจะถูกลดลง และนำไปประสมประสานกับวิชาอื่นๆ ซึ่งขอบข่ายของวิชานั้นยังคงอยู่ แต่จะถูกบูรณาการเข้ากับวิชาอื่นมากขึ้น ไม่สามารถพิจารณาพิจารณารายละเอียดปลีกย่อยของวิชานั้นได้ เพราะมีความเป็นสหวิทยาการและหลากหลายมิติยิ่งขึ้น
แนวโน้มของหลักสูตรที่ออนสไตน์สรุปไว้มีดังนี้
1.การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ความเจริญก้าวหน้าของวีดิทัศน์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้ ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้และที่บ้านของนักเรียน วีดิทัศน์มีความสะดวกที่นำมาเรียนได้ตลอดเวลา ช่วยไม่ให้ผู้เรียนพลาดบทเรียนที่สำคัญ ทั้งยังสามารถจะพิมพ์วีดิทัศน์หรือภาพจากจอ ให้อยู่ในรูปของภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือ รูปภาพในแบบต่างๆลงในกระดาษสำหรับศึกษาต่อได้
ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
2.การรู้ใช้เทคโนโลยี โรงเรียนปัจจุบันเห็นความสำคัญในวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยี จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์และหุ่นยนต์ การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็นหรือที่รู้จักกันว่า 3Rs เพราะในอนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยีในอาชีพต่างๆเป็นอย่างมาก สถาบันการศึกษาจึงต้องมีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในอนาคต
3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจำเป็นกับสังคมสมัยใหม่ เพราะความรู้ที่มีมากมาย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อประชาชนในการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพไปสู่การพัฒนาใหม่ที่มีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม ซึ่งการศึกษาไม่ได้จัดขึ้นในโรงเรียนเท่านั้น การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังให้มีเพิ่มมากขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1990s
4.การศึกษานานาชาติ การสื่อสารผ่านดาวเทียม รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ท สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ดูเหมือนว่าโลกแคบลง สามารถศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และการสอนภาษาต่างประเทศมีก็มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
5.สิ่งแวดล้อมศึกษา ผลจากปัญหาต่างๆ ในด้านสิ่งแวดล้อมนำไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา ถึงแม้ว่ามีวิชาที่เกี่ยวข้องคือธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ อยู่แล้ว แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมาย มีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ ในยามคับขันหรือช่วงเวลาฉุกเฉินก็ยังจำเป็นอยู่ การเรียนรู้ในแบบบูรณาการถึงปัญหาและสาเหตุหลายๆอย่าง จะช่วยให้เกิดการลดปัญหาหรือนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาได้
6.การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การบำบัดด้วยการฉายรังสี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ อาหารอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด และความเข็มข้นของรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์จะถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา
7.สุขศึกษาและการดูแลสุขภาพกาย แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ ตัวอย่างที่จัดเจนคือ นักการศึกษานำประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS นำมาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร
8.การศึกษาต่างด้าว สังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก นัยสำคัญของคนต่างด้าวจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่เรียกว่า ยากจน เด็กที่มาจากประเทศต่างๆจะถูกตีตราว่า ด้อยความสามารถในการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คำแนะนำว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
9.ภูมิศาสตร์ย้อนกลับ การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983 เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน มีการทบทวนสาระสำคัญทางภูมศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
10.การศึกษาช่วงเกรดกลาง ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนต้น เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต (socialization) ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสำคัญกับ intramural sport (กีฬาภายใน)แต่ไม่เน้น interscholastic sport (กีฬาระหว่างโรงเรียน) ถึงแม้ว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้น การพัฒนาหลักครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความแตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอนาคตสถาบันการผลิตครูจะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง
11.การศึกษาสำคัญผู้สูงอายุ โรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย) นอกจากนั้น ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจากงานประจำมาช่วยงานในโรงเรียนในรูปแบบ อาสาสมัคร ผู้ช่วยสอนและแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้
12.ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงกลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโค้ชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว (ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาจากผู้เรียนโดยตรง
13.การศึกษาเพื่ออนาคต จากงานเขียนของทอฟเลอร์ (Toffler) ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กำหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลยนั้น จึงนำมาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่แบ่งแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองเป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต เป็นการนำเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำไปใช้โดยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนักการศึกษาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในอนาคตไว้ เรียกว่า “ทักษะในศตวรรษที่ 21”
แนวโน้มของหลักสูตรที่ออนสไตน์สรุปไว้มีดังนี้
1.การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ความเจริญก้าวหน้าของวีดิทัศน์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้ ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้และที่บ้านของนักเรียน วีดิทัศน์มีความสะดวกที่นำมาเรียนได้ตลอดเวลา ช่วยไม่ให้ผู้เรียนพลาดบทเรียนที่สำคัญ ทั้งยังสามารถจะพิมพ์วีดิทัศน์หรือภาพจากจอ ให้อยู่ในรูปของภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือ รูปภาพในแบบต่างๆลงในกระดาษสำหรับศึกษาต่อได้
ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
2.การรู้ใช้เทคโนโลยี โรงเรียนปัจจุบันเห็นความสำคัญในวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยี จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์และหุ่นยนต์ การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็นหรือที่รู้จักกันว่า 3Rs เพราะในอนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยีในอาชีพต่างๆเป็นอย่างมาก สถาบันการศึกษาจึงต้องมีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในอนาคต
3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจำเป็นกับสังคมสมัยใหม่ เพราะความรู้ที่มีมากมาย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อประชาชนในการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพไปสู่การพัฒนาใหม่ที่มีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม ซึ่งการศึกษาไม่ได้จัดขึ้นในโรงเรียนเท่านั้น การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังให้มีเพิ่มมากขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1990s
4.การศึกษานานาชาติ การสื่อสารผ่านดาวเทียม รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ท สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ดูเหมือนว่าโลกแคบลง สามารถศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และการสอนภาษาต่างประเทศมีก็มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
5.สิ่งแวดล้อมศึกษา ผลจากปัญหาต่างๆ ในด้านสิ่งแวดล้อมนำไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา ถึงแม้ว่ามีวิชาที่เกี่ยวข้องคือธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ อยู่แล้ว แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมาย มีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ ในยามคับขันหรือช่วงเวลาฉุกเฉินก็ยังจำเป็นอยู่ การเรียนรู้ในแบบบูรณาการถึงปัญหาและสาเหตุหลายๆอย่าง จะช่วยให้เกิดการลดปัญหาหรือนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาได้
6.การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การบำบัดด้วยการฉายรังสี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ อาหารอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด และความเข็มข้นของรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์จะถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา
7.สุขศึกษาและการดูแลสุขภาพกาย แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ ตัวอย่างที่จัดเจนคือ นักการศึกษานำประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS นำมาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร
8.การศึกษาต่างด้าว สังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก นัยสำคัญของคนต่างด้าวจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่เรียกว่า ยากจน เด็กที่มาจากประเทศต่างๆจะถูกตีตราว่า ด้อยความสามารถในการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คำแนะนำว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
9.ภูมิศาสตร์ย้อนกลับ การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983 เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน มีการทบทวนสาระสำคัญทางภูมศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
10.การศึกษาช่วงเกรดกลาง ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนต้น เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต (socialization) ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสำคัญกับ intramural sport (กีฬาภายใน)แต่ไม่เน้น interscholastic sport (กีฬาระหว่างโรงเรียน) ถึงแม้ว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้น การพัฒนาหลักครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความแตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอนาคตสถาบันการผลิตครูจะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง
11.การศึกษาสำคัญผู้สูงอายุ โรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย) นอกจากนั้น ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจากงานประจำมาช่วยงานในโรงเรียนในรูปแบบ อาสาสมัคร ผู้ช่วยสอนและแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้
12.ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงกลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโค้ชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว (ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาจากผู้เรียนโดยตรง
13.การศึกษาเพื่ออนาคต จากงานเขียนของทอฟเลอร์ (Toffler) ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กำหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลยนั้น จึงนำมาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่แบ่งแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองเป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต เป็นการนำเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำไปใช้โดยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนักการศึกษาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในอนาคตไว้ เรียกว่า “ทักษะในศตวรรษที่ 21”
วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสำคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ
ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า
ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีและจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950
มุ่งศึกษา ตัวแปรทำนายจากคุณสมบัติของครู เชื่อว่าครูที่มีแนวโน้มจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เสียง
2)
รูปร่างหน้าตา
3)
ความมั่นคงในอารมณ์
4)
ความน่าเชื่อถือ
5)
ความอบอุ่น
6) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครูในช่วงทศวรรษ 1960 และ
1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก(Clinical
supervision) คือ เทคนิควิธีสังเกตการสอนชั้นเรียน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Clinical supervision https://panchalee.wordpress.com/2009/06/22/clinical-supervision1/
ทศวรรษ 1980 เมเดอลีน ฮันเตอร์ และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐานในการเรียนการสอนดังนี้
1) การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม(Behaviorist) เน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
(Stimulas) และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ
การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้
2) การอนุมานจากความคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความทรงจำ
การถ่ายโอนความรู้ เป็นต้น
ผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม
เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive learning theory)
สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอน
จึงต้องเริ่มด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้ก่อน ในประเทศไทย
คุรุสภา เป็นผู้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา
เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้รู้ว่างานวิจัยและข้อมูลเหล่านี้ ช่วยให้เรามองเห็นแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรของเราได้
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
หลักสูตร เกิดขึ้นมาได้เพราะการนำความรู้
ความเข้าใจ และทักษะ จากหลายๆ ด้าน เช่น ปรัชญา จิตวิทยา เทคโนโลยี และความรู้จากวิชานั้นๆเอง
เป็นต้น ทำให้หลักสูตรมีความหลากหลาย ทั้งในด้านเนื้อหาสาระ และผู้มีส่วนร่วมในสาขาที่แตกต่างกันไป
ทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่เกิดจากการร่วมคิด
ร่วมทำ ร่วมสร้าง และร่วมกันนำไปใช้
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุต่อไปนี้
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุต่อไปนี้
1.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
2.ขาดการประสานงานหน้าที่ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
3.ผู้บริหารระดับต่างๆเห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ
4.ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร
5. ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทำความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
2.ขาดการประสานงานหน้าที่ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
3.ผู้บริหารระดับต่างๆเห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ
4.ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร
5. ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทำความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
แนะนำตัว
สวัสดีครับ
ผมชื่อ นายพิสิฐ เลิศพันธ์
นักศึกษา ชั้นปีที่ 3
วิชาเอกสังคมศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
เนื้อหาในบล็อกของผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งในบทความทั้งหมดของกลุ่ม หากผู้ใดสนใจอยากศึกษาเพิ่มเติม ขอเชิญที่บล็อกหลักของกลุ่มได้ที่นี่เลยนะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)